Tag: ราคาน้ำมัน

ค่าครองชีพทำให้ราคาน้ำมันสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง


น้ำมันเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ จึงทำให้น้ำมันเริ่มร่อยหรอลงไปทุกที ด้วยเหตุนี้ราคาน้ำมันจึงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้บริโภคต้องแบกรับภาระนี้ โดยเฉพาะผู้ใช้รถส่วนตัว

คนไทยกำลังใช้น้ำมันในราคาแพงจริงหรือ ยังเป็นข้อสงสัยกันอยู่ทุกวันนี้  และจากข้อมูลพบว่าราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 91 อยู่ที่ 46.45 บาทต่อลิตร ขณะที่น้ำมันเบนซิน 95 แตะที่ 48.95 บาทต่อลิตร คาดว่าอีกไม่นานมีสิทธิ์ได้เห็นราคาน้ำมันแตะที่ 50 บาทต่อลิตรเป็นแน่ ทำให้ราคาน้ำมันเป็นที่น่าหนักใจของผู้ใช้รถพอสมควร

จากผลสำรวจทั่วโลกพบว่ายังมีประเทศที่มีราคาน้ำมันสูงนั่นคือ ประเทศตุรกี โดยราคาน้ำมันอยู่ที่ 9.89 เหรียญสหรัฐฯ ต่อแกลลอน หรือคิดเป็นลิตรละ 78 บาท ตามมาด้วย “นอร์เวย์” ที่ 9.63 เหรียญสหรัฐฯ ต่อแกลลอน ตีเป็นเงินไทย ลิตรละ 76 บาท ขณะที่ประเทศไทย” ถูกจัดให้อยู่ในอันดับที่ 47 มีราคาน้ำมันอยู่ที่ 4.42 เหรียญสหรัฐฯ ต่อแกลลอน คิดแล้วก็ตกอยู่ที่ประมาณลิตรละประมาณ 34 บาท และยังถูกกว่าประเทศสิงคโปร์ที่ตกลิตรละ 50 บาท

ราคาน้ำมันของไทยไม่ได้สูงมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ทั้งนี้อันดับที่จัดมาเป็นแค่การจัดอันดับราคาขายในประเทศเท่านั้น หากจะให้วัดกันจริงๆ ต้องดูที่ค่าครองชีพของประชากรในประเทศ ว่าประเทศไหนใช้น้ำมันถูก น้ำมันแพงกว่ากัน และเมื่อวัดจากค่าครองชีพแล้ว ทำให้ไทยติดอันดับ 10 ของโลกในการใช้น้ำมันแพงมากที่สุด เพราไทยประชากรมีรายได้เฉลี่ยอยูที่ 507 บาทต่อวัน และรายได้ถูกแบ่งไปที่น้ำมันถึงร้อยละ 25 ในขณะที่นอร์เวย์มีรายได้เฉลี่ยนต่อวันที่ 8,355 บาท ทำให้การจ่ายน้ำมันแค่ลิตรละ 76 บาทเป็นเรื่องง่าย ส่งผลให้นอร์เวย์ไปอยู่อันดับที่ 51 ในด้านการใช้น้ำมันแพงของโลก

จากผลสำรวจทำให้พบว่า ถึงแม้บางประเทศมีค่าน้ำมันที่แพง  แต่หากนำรายได้ต่อหัวต่อวันของประชากรมาคิดค่าเฉลี่ยแล้ว ถือว่าคนเอเชียต้องกระเป๋าฉีกเพราะค่าน้ำมันมากเป็นอันดับต้น ๆ ของโลกเลยทีเดียว โดยเฉพาะประเทศไทย

แนวโน้มด้านราคาน้ำมันที่มีการเปลี่ยนแปลงไปตามตลาดโลก

ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงราคาน้ำมันในประเทศไทย ได้แก่ อัตราแลกเปลี่ยน ราคาน้ำมันสำเร็จรูปตลาดโลก ค่าพรีเมียมและปรับคุณภาพน้ำมัน ราคาไบโอดีเซล ราคาเอทานอล ภาษีฯ กองทุนน้ำมันฯ และค่าการตลาด อย่างแรกเลยที่ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า น้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปมีอุปสงค์และอุปทานคนละกลุ่มจึงอยู่คนละตลาดกัน แต่การเปลี่ยนแปลงราคาน้ำมันดิบกับราคาน้ำมันสำเร็จรูปมักจะมีทิศทางเดียวกัน แต่จะไม่เปลี่ยนแปลงเป็นสัดส่วนที่เท่ากันพอดี ทำให้ค่าการกลั่นเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แล้วแต่สภาพตลาดน้ำมันในขณะนั้นเป็นความเสี่ยงที่โรงกลั่นน้ำมันต้องรับไป

ราคาที่เป็นเนื้อน้ำมันคือราคาหน้าโรงกลั่นมีการเปลี่ยนแปลงตามราคาตลาดโลกเป็นไปตามกลไกตลาด แต่ส่วนอื่นๆที่ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปตามตลาดโลก ได้แก่ ภาษีต่างๆ กองทุนน้ำมันฯ และค่าการตลาด ฯลฯ นอกจากนี้ด้วยนโยบายของกระทรวงพลังงานในรัฐบาลชุดนี้ทำให้สามารถใช้หนี้กองทุนน้ำมันฯ โดยเก็บเพิ่มเติมจากน้ำมันดีเซลมาเป็นเงินสำรองเพื่อใช้รักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันหากเกิดราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นในอนาคต และสามารถนำไปใช้เพื่อส่งเสริมพลังงานทดแทนอีกด้วย ในส่วนของค่าการตลาดนั้นช่วงที่ราคาน้ำมันขาลงค่าการตลาดมักจะเพิ่มขึ้นมาชดเชยในส่วนที่ผู้ประกอบการรับภาระไว้ตอนช่วงราคาน้ำมันขาขึ้นที่ค่าการตลาดมักจะถูกบีบให้น้อยกว่าปกติ ก็ขึ้นอยู่กับกระทรวงพลังงานจะพิจารณาถึงความเหมาะสมและเป็นธรรมต่อทั้งประชาชนและผู้ประกอบการ

ทิศทางราคาน้ำมันดิบปี 2558 จะลดลงอยู่ที่ 90-95 เหรียญต่อบาร์เรล จากปีนี้ที่คาดว่าจะเฉลี่ยกว่า 100 เหรียญต่อบาร์เรล เนื่องจากยังอยู่ในสภาวะอุปทานล้นตลาด ประเทศสหรัฐอเมริกาสามารถผลิตน้ำมันได้สูงอย่างต่อเนื่อง ทำให้ลดการพึ่งพาการนำเข้าได้อย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้น้ำมันดิบจากแอฟริกาไม่สามารถส่งเข้าสหรัฐได้ จึงต้องลดราคาเพื่อแข่งขันกับกลุ่มโอเปก และขยายเข้าสู่ตลาดเอเชียแทน ประกอบกับกลุ่มโอเปกสามารถเพิ่มผลผลิตได้อย่างต่อเนื่องจากซาอุดีอาระเบีย และการกลับมาของอิรัก ลิเบีย และอิหร่าน ที่มีความคืบหน้าในการแก้ปัญหาโครงการนิวเคลียร์ ส่งผลให้ตลาดอุปทานน้ำมันยังอยู่ในระดับสูง

การที่ประเทศนอกกลุ่มโอเปกจะลดการผลิตลงไปนอกจากราคาจะเป็นปัจจัยหนึ่งแล้วการวางแผนการลงทุนยังเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ต้องมีการวางแผนล่วงหน้าและไม่สามารถยกเลิกได้อย่างกะทันหันจึงต้องอาศัยเวลาอย่างน้อย 2-3 เดือนจึงจะมีการปรับแผนการลงทุนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป สาเหตุที่กลุ่มโอเปกระบุว่าจะขอเวลาอย่างน้อย 3 เดือนเพื่อประเมินสถานการณ์ก่อนที่จะพิจารณาว่ามีความจำเป็นจะต้องเรียกประชุมฉุกเฉินในไตรมาสแรกของปีหน้าเพื่อพิจารณาว่าจะทบทวนเรื่องโควตาการผลิตหรือไม่

การที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวลดลงก็มีผลลบทางอ้อมต่อเศรษฐกิจอาเซียน

นับตั้งแต่ช่วงกลางปี 2557 ที่ผ่านมา เศรษฐกิจโลกได้เผชิญกับภาวะที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็ว โดยลดลงถึงร้อยละ 48 จากราคาที่สูงกว่า 105 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรลในเดือนก.ค. 2557 เหลือเพียง 54.2 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรลในวันที่ 31 ธ.ค. 2557 ซึ่งนับเป็นราคาที่ต่ำที่สุดในรอบ 5 ปี โดยมีสาเหตุจาก 2 ปัจจัยหลัก ได้แก่ การเพิ่มขึ้นของอุปทานน้ำมันในตลาดโลกอย่างมาก อันเป็นผลจากการผลิตน้ำมันที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลของสหรัฐฯ ด้วยการขุดเจาะน้ำมันจากชั้นหินดินดาน (Shale Oil) โดยใช้เทคโนโลยีการขุดเจาะแบบใหม่ตามแนวนอนที่เรียกว่า Horizontal Drilling รวมถึงการที่ประเทศอื่นๆ อย่างแคนาดาได้เพิ่มการผลิตน้ำมันจากทรายน้ำมัน (Tar Sands) มากขึ้น ในขณะที่ชาติสมาชิกโอเปกก็ยังคงกำลังการผลิตน้ำมันไว้ตามเดิม ส่วนอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ราคาน้ำมันลดต่ำลง คือ การลดลงของความต้องการใช้น้ำมันในหลายประเทศ จากความเปราะบางของเศรษฐกิจ อาทิ ญี่ปุ่นและอียู

ทั้งนี้ การลดลงของราคาน้ำมันนับเป็นผลดีต่อประเทศผู้นำเข้าน้ำมันสุทธิ ซึ่งรวมถึงกลุ่มประเทศอาเซียน ตามปัจจัยสนับสนุน ดังต่อไปนี้
มูลค่าการนำเข้าน้ำมันดิบที่ลดลงส่งผลบวกต่อดุลบัญชีเดินสะพัด (Current Account) ของประเทศส่วนใหญ่ในอาเซียน โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า ประเทศไทยจะเกินดุลบัญชีเดินสะพัดราวร้อยละ 2 ของ GDP ในปี 2558 นี้ นอกจากนี้ การลดลงของราคาน้ำมันย่อมส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจของประเทศจีน สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และสหรัฐฯ ซึ่งเป็นผู้นำเข้าน้ำมันสุทธิรายใหญ่ รวมถึงยังเป็นตลาดส่งออกและตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติที่สำคัญของอาเซียน ดังนั้น การส่งออกและการท่องเที่ยวของอาเซียนโดยรวมคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้น

หากแต่ประเทศผู้ส่งออกน้ำมันสุทธิในอาเซียนซึ่งได้แก่ มาเลเซีย และบรูไนอาจประสบความท้าทายจากรายได้จากการส่งออกน้ำมันที่ลดลง อย่างไรก็ดี มาเลเซียมีฐานะเกินดุลบัญชีเดินสะพัดสะสมต่อเนื่อง อันส่งผลให้ฐานะการเงินของประเทศยังอยู่ในระดับที่ไม่น่าเป็นกังวล

ราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงน่าจะส่งผลให้มีการบริโภคภาคเอกชนเพิ่มขึ้น เนื่องจากครัวเรือนมีภาระค่าใช้จ่ายน้อยลง รวมทั้งต้นทุนของภาคธุรกิจในการผลิตและการขนส่งมีแนวโน้มปรับตัวลดลง ซึ่งจะช่วยชะลอการปรับราคาสินค้าในตลาดได้ และช่วยให้ในระยะนี้สถานการณ์เงินเฟ้อของอาเซียนอยู่ในภาวะผ่อนคลายมากขึ้น

ด้วยสภาวะเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มผ่อนคลายลงตามระดับราคาน้ำมันในตลาดโลก ทำให้ธนาคารกลางของแต่ละประเทศในอาเซียนมีพื้นที่สำหรับการผ่อนคลายนโยบายการเงินมากขึ้น เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ ยกตัวอย่างเช่น อินโดนีเซียที่น่าจะชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระยะนี้ หลังจากมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอดนับจากรัฐบาลประกาศลดการอุดหนุนราคาน้ำมันในประเทศ รวมไปถึงฟิลิปปินส์ที่ยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 4 ภายหลังอัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลงมาจากร้อยละ 4.3 ในเดือนต.ค. 2557 เป็นร้อยละ 3.7 ในเดือนพ.ย. 2557 ซึ่งเป็นอัตราที่ต่ำที่สุดในรอบปี 2557 นับเป็นการลดความกังวลของธนาคารกลางฟิลิปปินส์ในการจัดการกับปัญหาเงินเฟ้อ

สถานะดุลการคลังของประเทศในอาเซียนมีโอกาสปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากเป็นจังหวะให้ภาครัฐสามารถลดภาระค่าใช้จ่ายผ่านการลดการอุดหนุนราคาน้ำมัน โดยไม่กระทบต้นทุนของภาคธุรกิจและค่าใช้จ่ายประชาชน และสามารถนำงบประมาณภาครัฐไปใช้จ่ายกับโครงการเพื่อการพัฒนาประเทศได้มากขึ้น เห็นได้จากว่ามาเลเซีย และอินโดนีเซียเริ่มมีการปรับลดการอุดหนุนราคาน้ำมัน และไทยเริ่มมีการปรับโครงสร้างราคาน้ำมันโดยการปรับขึ้นอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล

ทั้งนี้ การที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวลดลงก็มีผลลบทางอ้อมต่อเศรษฐกิจอาเซียนด้วยเช่นกัน ผ่านความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างอาเซียนและประเทศผู้ส่งออกพลังงานสุทธิรายใหญ่อย่างรัสเซีย และกลุ่มประเทศสมาชิกโอเปก โดยผลจากการร่วงอย่างหนักของราคาน้ำมัน ทำให้ค่าเงินรูเบิลของรัสเซียอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ต้นทุนทางการเงิน และภาระหนี้ต่างประเทศของรัสเซียเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อตราสารทางการเงินในประเทศตลาดเกิดใหม่ และอาจนำไปสู่ปัญหาด้านเสถียรภาพของค่าเงินในตลาดเกิดใหม่อื่นๆ เช่น อินเดีย และอินโดนีเซีย เป็นต้น

ราคาน้ำมันแพงส่งผลต่อธุรกิจขนส่ง

เมื่อราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้นทำให้ผู้ประกอบการด้านโลจิสติกส์ ต้องแบกรับภาระด้านต้นทุน ในด้านการขนส่งสินค้าที่สูงขึ้น ดังนั้นผู้ประกอบการด้านโลจิสติกส์จะต้องมีการวางแผนกำหนดกลยุทธ์ต่าง ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขนส่ง และลดต้นทุนในการขนส่ง อาทิเช่น

1. กลยุทธ์การใช้พลังงานทางเลือก โดยปรับเปลี่ยนพลังงานที่ใช้ในการขนส่งจากน้ำมันดีเซลหรือเบนซิน เป็นไบโอดีเซลหรือก๊าซ CNG ซึ่งการใช้ก๊าซ CNG จะประหยัดกว่าการใช้น้ำมันประมาณ 60-70% แต่ในการตัดสินใจติดตั้งระบบ NGV ผู้ประกอบการควรมีการตัดสินใจที่ละเอียดถี่ถ้วน เนื่องจากการติดตั้งระบบ NGV ใช้งบประมาณที่ค่อนข้างสูง ในการติดตั้งผู้ประกอบการควรพิจารณาตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้ คือ พิจารณาประเภทของเครื่องยนต์ พิจารณาสถานีบริการ NGV และเส้นทางในการขนส่ง สุดท้ายคือ การพิจารณาผลตอบแทนการลงทุน ซึ่งการพิจารณาถึงองค์ประกอบเหล่านี้ จะทำให้ผู้ประกอบการเห็นถึงความเป็นไปได้ของการติดตั้งในด้านผลตอบแทนการลงทุน รวมถึงการเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน

2. กลยุทธ์การปรับเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งแบบใหม่ หรือการใช้วิธีการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ (Multimodal transportation) ซึ่งเป็นวิธีการขนส่งที่ผสมผสานระหว่างการขนส่งตั้งแต่ 2 รูปแบบขึ้นไป ภายใต้สัญญาหรือผู้รับผิดชอบการขนส่งรายเดียว ซึ่งโครงสร้างของระบบขนส่ง สามารถแบ่งตามลักษณะทางกายภาพได้ 5 แบบ คือ

1. การขนส่งทางถนน เป็นรูปแบบการขนส่งที่นิยมใช้มากที่สุด สำหรับการขนส่งภายในประเทศ
2. การขนส่งทางราง มีข้อจำกัดในด้านสถานที่ตั้ง และสถานีบริการ ต้นทุนการขนส่งต่ำ และสามารถบรรทุกสินค้า ได้ครั้งละมากๆ
3. การขนส่งทางน้ำ สามารถขนส่งได้ครั้งละมากๆ มีต้นทุนในการขนส่งต่ำที่สุด และเป็นการขนส่งหลักของการขนส่งระหว่างประเทศ
4. การขนส่งทางอากาศ ใช้สำหรับการขนส่งระยะทางไกลๆ และต้องการความเร็วสูง มีต้นทุนการขนส่งสูงที่สุด และใช้กับสินค้าที่มีราคาแพง มีน้ำหนักและปริมาตรน้อย
5. การขนส่งทางท่อ ต้องมีการกำหนดตำแหน่งที่ตั้งสถานที่รับและส่งสินค้าที่แน่นอน

ปัจจุบันประเทศไทยใช้วิธีการขนส่งทางถนนมากกว่าร้อยละ 80 ของปริมาณการขนส่งสินค้าโดยรวมของประเทศ เนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานระบบการขนส่งในประเทศ ได้เอื้ออำนวยให้สามารถขนส่งถึงที่หมายปลายทางได้ (Door-to-door) ในขณะที่การขนส่งทางรางยังคงมีข้อจำกัดอยู่ ดังนั้นจึงต้องมีการผสมผสานรูปแบบการขนส่งเพื่อให้สามารถทันกับการตอบสนองความต้องการของลูกค้า โดยคำนึงถึงต้นทุนการขนส่งให้ประหยัดที่สุด นอกจากนี้การขนส่งทางรางยังสามารถใช้ขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ได้จึงเหมาะกับการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ ซึ่งการขนส่งสินค้า ระยะไกลจะใช้การขนส่งโดยรถไฟ และใช้การขนส่งโดยรถยนต์เพื่อส่งสินค้าระหว่างจุดต้นทางสินค้า กับสถานีต้นทางและระหว่างสถานีปลายทางกับจุดปลายทางสินค้า ส่วนระยะใกล้จะใช้การขนส่งทางถนน

ปัญหาราคาน้ำมันที่ต้องได้รับการแก้ไข

logiciel-prodell.com

ในแต่ละวันประเทศไทยสามารถผลิตน้ำมันได้กว่าประเทศอื่นๆเกือบ 2 เท่าตัว

เช่น บรูไน และน้ำมันสำเร็จรูปยังเป็นสินค้าส่งออกอันดับที่ 5 ของไทย ซึ่งมีมูลค่าการส่งออกมากกว่าข้าวเกือบ 2 เท่าตัว แต่ด้วยปัญหาการนำเข้าส่งออกที่ไม่ชอบมาพากลของบ้านเรา ทำให้คนไทยต้องจ่ายค่าน้ำมันในราคาสูงมากกว่าที่ควรจะเป็น ในขณะที่บริษัทน้ำมันบางรายกับร่ำรวยขึ้น

ยังคงเป็นคำถามที่ค้างคาใจ ว่าทำไมราคาที่ส่งออกน้ำมันไปขายยังต่างประเทศ จึงถูกกว่าน้ำมันที่โรงกลั่นน้ำมันขายในประเทศ หลายๆคนคงทราบกันดีว่าเพราะเหตุใด แต่อย่างไรก็ตามคงต้องย้อนกลับไปตั้งแต่การเริ่มต้นส่งเสริมให้มีการลงทุนสร้างโรงกลั่นน้ำมันในประเทศไทยก่อน จากในอดีตก่อนที่รัฐบาลจะเปิดให้มีการลงทุนสร้างโรงกลั่นน้ำมันในประเทศไทย เราต้องนำเข้าน้ำมันทุกชนิดจากประเทศสิงคโปร์

ต่อมาเมื่อมีนโยบายสร้างโรงกลั่นขึ้นมาเพื่อทดแทนการนำเข้า ก็ได้มีการกำหนดให้ตั้งราคาที่อิงกับน้ำมันในตลาดสิงโปร์ ซึ่งเป็นตลาดขายน้ำมันที่เป็นสากล และได้รับการยอมรับ ซึ่งโรงกลั่นน้ำมันที่สร้างขึ้นในระยะแรกๆ ไม่ได้เป็นการลงทุนของผู้ประกอบการเพียงรายใดรายหนึ่งเท่านั้น แต่เป็นการลงทุนของนักธุรกิจหลายรายที่มาลงุทนร่วมกัน เมื่อกลั่นน้ำมันได้เท่าไร ผู้ที่ถือหุ้นก็จะนำน้ำมันไปขายตามจำนวนหุ้นของแต่ละบริษัท ซึ่งราคาเหล่านี้ก็จะมีการปรับขึ้นลงตามราคาตลาดโลกด้วย

อย่างไรก็ตามการส่งออกน้ำมันไปขายยังต่างประเทศนั้นไม่ใช่วัตถุประสงค์หลักของการสร้างโรงกลั่นในไทย เพราะเราสร้างโรงกลั่นเพื่อนำมาทดแทนการนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศ ไม่ได้สร้างขึ้นเพื่อการส่งออกเหมือนโรงกลั่นอย่างในประเทศสิงคโปร์ ดังนั้นทางด้านการส่งออกตลาดสิงคโปร์ย่อมได้เปรียบเราในทุกด้านอยู่แล้ว และเป็นผู้ที่ครอบครองตลาดด้วย

ในขณะที่ความต้องการน้ำมันของไทยเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดเราก็ต้องกลับไปนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศเหมือนในอดีต ซึ่งเป็นผลเสียต่อประเทศชาติ แต่ถ้าหากทางรัฐบาลหยุดแสวงหาผลกำไรโดยไม่สนใจถึงความเดือดร้อนของประเทศ และจำหน่ายน้ำมันให้เกิดความเป็นธรรมมากที่สุด คนไทยก็จะไม่จำเป็นต้องจ่ายให้กับราคาน้ำมันที่แพงเกินจริงจากต่างประเทศอีกต่อไป